หน้าร้อนปีนี้ เปิดปฏิทินเจอวันหยุดยาวๆ หลายวันต่อเนื่อง ทำให้จิตใจปั่นป่วน วางแผนเดินทางอีกแล้ว งวดนี้ตกลงปลงใจบินยาวๆ ไปแถบยุโรป เพราะจำได้ว่าทุกๆ ปี แถวเนเธอร์แลนด์จะมีเทศกาลดอกทิวลิปซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม - กลางเดือนพฤษภาคม เราจึงวางแผนทำโปรแกรมรูทยาวๆ เพื่อเดินทางต่อ จากเนเธอร์แลนด์ ไล่ลงมาฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์ และปิดท้ายที่มิลาน อิตาลี เพื่อใช้สิทธิ์วันหยุดยาว ให้คุ้ม ซึ่งเราเองก็มีลาเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย (ตามสไตล์)
เริ่มต้นทริปด้วยการบิน ด้วยสายการบิน Etihad Airways จากสนามบินสุวรรณภูมิ เครื่องบินออกเวลา ตี 2 ใช้เวลาบินและต่อเครื่องที่ Abu Dhabi รวมประมาณ 17 ชั่วโมงครึ่ง เราก็มาถึงสนามบิน Schiphol Airport ซึ่งห่างจากใจกลางเมือง ไปทางตะวันตกเฉียงใต้เพียง 15 กิโลเมตร และมีรถไฟขบวน Intercity หรือ Sprinter วิ่งเข้าไปในตัวเมืองที่สถานี Amsterdam Centraal ด้วยเวลาเพียง 10 กว่านาที ราคาตั๋วเที่ยวละ 4.2 ยูโร
ทริปนี้เรามาแบบไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้านาน ด้วยเพราะช่วงนี้ตรงกับเทศกาลทิวลิป ซึ่งนักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างมุ่งตรงมาชมกัน ดังนั้นโรงแรมที่พักในเมืองจึงถูกจองเต็มเกือบหมด ตอนจองหน้าเว็บจึงตัดสินใจเลือกที่พักซึ่งตั้งอยู่บริเวณสนามบิน Schiphol Airport โดยเข้าไปดูใน Booking.com เพราะไม่มีค่าธรรมเนียมการจองใดๆ ทั้งสิ้น แล้วยังมีที่พักหลากหลายครอบคลุมทั่วโลก พบว่าโรงแรม Sheraton Amsterdam Airport Hotel and Conference Center เป็นโรงแรมที่อยู่ภายในอาคารสนามบิน แบบเดินถึงภายใน 5 นาที และแน่นอนว่ามีห้องว่างสำหรับ 3 คืนด้วย จึงตัดสินใจนอนที่นี่
เนื่องจาก Sheraton Amsterdam Airport Hotel and Conference Center ตั้งอยู่ภายในอาคารสนามบินจึงไม่มีสระว่ายน้ำบริการ สิ่งที่ชอบภายในโรงแรมนอกจากจะมีฟิตเนสขนาดใหญ่ที่เปิดบริการทั้งวัน พร้อมจักรยานซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้แล้ว ยังมีโซนพักผ่อนให้นั่งเล่น นอนเล่น ชิลล์ๆ เสมือนมาอาบแดดในรีสอร์ทริมทะเล ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับโซนห้องสตรีม และซาวน่า
หลังจากเช็คอินน์เรียบร้อย วันแรกจึงตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวใกล้ๆ ในตัวเมืองก่อน แถบย่าน Dam Sqaure ซึ่งเป็นจตุรัสใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั้ง พระราชวัง, อนุสาวรีย์, พิพิธภัณฑ์ และโบสถ์สำคัญ รวมทั้งยังเป็นถนนช้อปปิ้ง และร้านอาหาร ซึ่งสามารถเดินมาจากสถานีรถไฟ Amsterdam Centraal เพียง 750 เมตร เท่านั้น ชื่อของ Dam Square มาจากการสร้างเขื่อน (Dam) ที่แม่น้ำอัมส์เทล (Amstel) ในช่วงศตวรรษที่ 13 และเป็นที่มาของชื่อเมืองอัมสเตอร์ดัมนี้
ร้านค้าข้างทางในตัวเมืองนอกจากจะมีแบรนด์เนม, ร้านอาหาร และกัญชา ซึ่งอนุญาตให้มีการขายอย่างถูกกฎหมายแล้ว เนเธอร์แลนด์ยังมีร้านจำหน่ายชีสตลอดเส้นทางอีกด้วย เพราะที่นี่เป็นตลาดส่งออกชีสที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สำหรับชีสอยู่คู่กับคนดัตช์มาตั้งแต่ยุคกลาง แหล่งผลิตชีสที่มีชื่อเสียงรู้จักกันชื่อ Cheese Valley ซึ่งประกอบด้วย 4 เขต ได้แก่ Gouda, Bodegraven-Reeuwijk, Woerden และ Krimpenerwaard ใครที่แวะเข้าร้านชีสที่นี่ หากไม่รู้ว่าแต่ละตัวรสชาติเป็นอย่างไร ทางร้านเค้ามีให้ลองชิมได้ เกือบทุกตัว เรียกว่าชิมกันจนจะอิ่มเลยทีเดียว
ในอัมสเตอร์ดัมเราจะพบว่าคนเมืองที่นี่ส่วนใหญ่ จะใช้จักรยานเดินทางกัน ดังนั้นเวลาเดินเล่นเราจึงต้องระวังกันเล็กน้อย ซึ่งที่นี่มีร้านเช่าจักรยานหลายร้านที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเช่าได้ เช่น Mac Bike, Black Bike และ Yellow Bike โดยค่าเช่าอาจแตกต่างกันไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่ราคาเริ่มต้น 5-7.5 ยูโรต่อชั่วโมง
ย่านที่นักท่องเที่ยวมาอัมสเตอร์ดัมแล้วพลาดไม่ได้ อีกหนึ่งจุด คือย่านโคมแดง หรือ Red Light District (Rosse Buurt) ซึ่งเสมือนสัญลักษณ์ของเมือง เพราะเนเธอร์แลนด์ออกกฎหมายให้มีการค้าประเวณีได้ ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 โดยจะมีหน้าต่างกระจกเป็นพื้นที่ที่สาวๆ จะสวมชุดน้อยชิ้นมายืนโชว์ตัวเรียกลูกค้ากัน ซึ่งผู้ให้บริการส่วนใหญ่จะไม่ใช่ชาวดัตช์แต่มาจากหลายประเทศในยุโรปตะวันออก ทั้ง ฮังการี, โปแลนด์, โรมาเนีย
เช้าวันต่อมาเราได้ทานอาหารเช้า ซึ่งรวมอยู่กับห้องพักตอนจองโรงแรมทาง Booking.com แล้ว โดยร้านอาหารหลักของ Sheraton Amsterdam Airport Hotel and Conference Center เป็นร้าน The Gate ซึ่งที่นี่นอกจากจะมีเมนูอาหารเช้าสไตล์บุฟเฟ่ต์ที่เราคุ้นเคยกัน อย่าง ขนมปัง, ไข่ดาว, ไส้กรอก แล้ว ความพิเศษของที่นี่คือ มีมุม Special Dutch Table ซึ่งจะมีขนมปังรสชาติต่างๆ พร้อมแยมหลากหลายให้เลือก แบบที่คนพื้นเมืองชาวดัตช์นิยมทานกัน นอกจากนี้ยังมีของหลักประจำชาติอย่างชีส ทีมีมากจนต้องเลือก สลับทานกันไปในแต่ละวัน
มาเนเธอร์แลนด์ทั้งที ไฮไลท์อีกอย่างที่พลาดไม่ได้คือกังหันลมของจริง ที่หมู่บ้านกังหันลม Zaanse Schans ในเมือง Zaandam ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงอัมสเตอร์ดัม สามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ โดยรถไฟขบวน Sprinter เพียง 18 นาที จาก Amsterdam Centraal แล้วเดินต่อเข้าหมู่บ้านอีก 800 เมตร หรือจะนั่งรสบัสสาย 391 จากสถานีมาลงที่ป้าย Zaanse Schans ในหมู่บ้านเลยก็ได้
Zaanse Schans แม้จะเป็นหมู่บ้านไม่ใหญ่มากนัก แต่มีชื่อเสียงโด่งดัง และถือเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของเนเธอร์แลนด์ เลยก็ว่าได้ เพราะแต่ละปีมีผู้มาท่องเที่ยวนับล้านคน อดีตที่นี่เต็มไปด้วยกังกันไม้ราว 1,000 กว่าหลัง ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานส่งให้กับโรงเลื่อยในอุตสาหกรรมไม้แปรรูป ส่งให้กับอู่ต่อเรือ, โรงหีบน้ำมัน, โรงทำสี, โรงโม่แป้ง, โรงบดเครื่องเทศ, โรงงานมัสตาร์ด จนกระทั่งปัจจุบันเหลือเพียง 9 หลังที่อนุรักษ์ไว้ นอกจากนี้ที่นี่ ยังเป็นแหล่งผลิตรองเท้าไม้ หรือ คลอมเปิน (Klompen) ที่มีชื่อเสียงของประเทศ ซึ่งมีการผลิตสืบทอดแบบรุ่นต่อรุ่นกันมากว่า 40 ปี อีกด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของทริปยุโรปนี้ คือ การมาชมทุ่งดอกทิวลิิปที่ สวน Keukenhof ที่ตั้งอยู่กลางทุ่ง ชานเมืองลิซเซ่ (Lisse) ทางตะวันตกเฉียงใต้กรุงอัมสเตอร์ดัม และสนามบิน Schiphol Airport นับเป็นสวนดอกไม้ชื่อดัง ทุกๆปีช่วงฤดูใบไม้ผลิ คือ กลางเดือนมีนาคม - กลางเดือนพฤษภาคม จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมดอกไม้สีสวยสารพัดชนิด ไม่เพียงเฉพาะดอกทิวลิปเท่านั้น แต่ยังมีดอกไม้อีกหลายชนิด หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันออกดอกให้ชม ตลอดระยะเวลาดังกล่าว ดังนั้นแต่ละปีจึงมีนักท่องเที่ยวปีละกว่า 1 ล้านคน
ดังนั้นไม่ว่าคุณจะไปเที่ยวที่นี่ช่วงไหน ในฤดูใบไม้ผลิ ก็มีโอกาสได้เห็นความงดงามของดอกไม้สารพัดสี และทิวลิปหลากสายพันธุ์ที่ต่างชูช่ออวดสีสันตลอดทั้งฤดู เพราะ Keukenhof วางแผนปลูกให้ออกดอกสลับสับเปลี่ยนกัน สำหรับการเดินทางมาที่นี่ ซึ่งง่ายและสะดวกที่สุดคือ ซื้อตั๋วรถบัส และตั๋วเข้าชม Keukenhof ซึ่งจะมีบูท ตั้งอยู่บริเวณสนามบิน Schiphol Airport
Keukenhof ได้รับสมญานามว่า Garden of Europe ในอดีตสวนแห่งนี้เคยเป็นสวนของปราสาท Keukenhof แต่ต่อมาพื้นที่เกษตรในแถบนี้กลายเป็นพื้นที่เพื่อการปลูกไม้ดอกชนิดหัว โดยเฉพาะทิวลิป และเติบโตจนกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของประเทศ กลางศตวรรษที่ 20 สวนนี้จึงถูกปรับให้กลายเป็นพื้นที่จัดแสดงพันธุ์ดอกไม้ดังกล่าวในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
พื้นที่กว่า 3 แสนตารางเมตร ใน Keukenhof เต็มไปด้วยดอกทิวลิปนับร้อยสายพันธุ์ และอื่นๆ ที่ปลูกแซมให้มีสีสัน ไม่ว่าจะเป็น เดฟโฟดิล หรือนาร์ซิสซัส (narcissus), ไฮยาซินท์ (hyacint), โครคัส (crocus), ว่านสี่ทิศ (amaryllis), มงกุฎจักรพรรดิ์ (fritillaria), คาลลา ลิลลี่ (calla lilly), แม็กโนเลีย (magnolia) และซากุระ (cherry blossom) ปัจจุบันถือเป็นสวนแบบผสมผสานหลากสไตล์หลายคอนเซ็ปท์จำนวน 10 สวนย่อย ปลูกแซมกับต้นไม้ใหญ่ มีรูปปั้น คลอง บึง และน้ำพุ รวมถึงยังมีอาคารที่จัดนิทรรศการต่างๆ อีกหลายอาคาร
หลังจากได้ชื่นชมความงดงามของดอกไม้ในสวน Keukenhof จนทั่วแล้ว เราจึงมุ่งหน้าไปหมู่บ้าน Giethoorn โดยกลับไปสถานี Amsterdam Centraal เพื่อนั่งรถไฟ Intercity ไปลงสถานี Steenwijk จากนั้นจึงนั่งรถบัสสาย 70 เพื่อไปลงป้าย Dominee จากนั้นจึงเดินข้ามถนนแล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปอีกหน่อย จะมีซอยเลียบคลองเข้าหมู่บ้านทางขวามือ
สำหรับ Giethoorn เป็นหมู่บ้านแห่งสายน้ำที่สวยดั่งฝัน เพราะที่นี่ไม่มีถนนสำหรับรถ มีเพียงแต่คลองสายเล็กที่ล้อมบ้านแต่ละหลัง กับสะพานไม้เล็กๆ เชื่อมบ้านกับถนนสายเล็กๆ ในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่นี่จึงเดินทางด้วยการล่องเรือแทน นอกจากนี้บ้านเรือนในหมู่บ้านยังมีความน่ารัก บางหลังยังคงเอกลักษณ์บ้านแบบดั้งเดิมไว้ สังเกตได้จากหลังคาที่มุงหญ้าให้ความอบอุ่นในหน้าหนาว ดูราวกับในนิยาย เพิ่มความฟินให้กับนักท่องเที่ยวที่มาแวะเวียนเข้าไปอีก
การล่องเรือนับเป็นกิจกรรมหลักเมื่อมาเที่ยวที่นี่ มีทั้งเรือทัวร์ลำใหญ่ ให้นักท่องเที่ยวนั่งร่วมกันกว่าสิบคน และเรือลำเล็กให้เช่านั่งได้ ราคาเริ่มต้น 4 คน 17.50 ยูโร/ชั่วโมง, 6 คน ราคา 22.50 ยูโร ขึ้นไป ซึ่งนักท่องเที่ยวต้องขับด้วยตนเอง สามารถลัดเลาะซอกซอนทุกคลองที่ต้องการได้ หลังจากนั่งเรือแล้ว ใครที่ไม่อยากเดินเท้าชมหมู่บ้าน ก็สามารถเช่าจักรยานสำรวจพื้นที่โดยรอบได้ เพราะทุกจุดมีมุมเก๋ๆ ให้หยุดถ่ายรูปได้ตลอดทาง ราคาเริ่มต้น 3 ชั่วโมง 10 ยูโร
จากเนเธอร์แลนด์ วันต่อมาเรามุ่งหน้าเดินทางไปยังเมืองเก๋ๆ น่ารักในประเทศฝรั่งเศสอย่าง Colmar เหตุที่อยากไปเที่ยวที่นี่ เพราะมาฝรั่งเศสที่ไร จะวนเวียนอยู่แต่ในกรุงปารีส ฝันมานานว่าซักวันต้องแวะมาชื่นชม การตกแต่งบ้านเมืองสไตล์แคว้น Alsace มารอบนี้แพลนเรากะมุ่งหน้าไปเที่ยวต่อที่สวิตเซอร์แลนด์พอดี ... จึงสมใจอยาก ได้ผ่านแวะเที่ยว Colmar ซักวัน
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟ Gare de Colmar แล้ว เราเดินข้ามถนนไปเพียง 5-6 ก้าว ก็พบกับโรงแรมขนาดใหญ่อยู่ตรงข้ามสถานีหลักของเมืองพอดี Grand Hotel Bristol เป็นโรงแรมที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ตั้งใจมาเที่ยว Colmar แบบค้างคืน เพราะหากคุณมีกระเป๋า สัมภาระ เดินทางใบใหญ่ลากติดตัวมา คงไม่สะดวกแน่ที่จะเดินเกือบ 10 นาที เพื่อไปเช็คอินน์โรงแรมในย่านชุมชน ซึ่งบางวันอาจจะเจอฝนพรำๆ มาพร้อมกัน เราจองผ่าน Booking.com เนื่องจากสามารถเข้าพักก่อน และจ่ายทีหลังในที่พักส่วนใหญ่ สำหรับบรรยากาศในโรงแรมนั้น ได้รับการปรับปรุงใหม่มาไม่นาน ทำให้เรารู้สึกได้ถีงความร่วมสมัยของที่นี่
เมืองกอลมาร์เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโอ-แร็งในแคว้นอาลซัสในประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส เป็นบ้านเกิดของจิตรกรและช่างแกะพิมพ์ มาร์ติน โชนเกาเออร์ และประติมากร เฟรเดริก โอกุสต์ บาร์ตอลดี ผู้ออกแบบอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ กอลมาร์มีชื่อเสียงในการอนุรักษ์เมืองให้ยังคงเป็นเมืองที่มีลักษณะสถาปัตยกรรม และบรรยกาศของเมืองโบราณ ในตัวเมืองเก่าก็มีพิพิธภัณฑ์ คริสต์ศาสนสถาน และร้านค้าและที่อยู่อาศัยที่คงสภาพเหมือนเมืองในยุคกลาง
เนื่องจากย่านท่องเที่ยวของเมืองนี้ อยู่ในละแวกเดียวกัน ประกอบกับบรรยากาศโดยรวมของเมืองมีความสวยงาม ความน่ารักตามสไตล์เมืองเก่าแนววินเทจ จึงเหมาะอย่างยิ่งในการเดินทอดน่อง ชิลล์ๆ ชมเมืองไปเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีบริการรถนำเที่ยว (Le Petit Train de Colmar) รูปทรงเรโทรน่ารัก โดยจุดขึ้นรถจะอยู่ด้านข้างบนพิพิธภัณฑ์ Musee Unterlinder บนถนน Rue Kleber รถจะออกทุกๆ 30 นาที วิ่งบริการพานักท่องเที่ยวลัดเลาะชมเมืองผ่านจุดไฮไลท์สำคัญ ใช้เวลารอบละ 30 นาที
ย่าน La Petite Venise หรือเวนิซน้อยแห่งโกลมาร์ (Little Venice) นับเป็นจุดที่เราสามารถเดินเลียบแม่น้ำไปได้ เรื่อยๆ โดยมีสะพานข้ามแม่น้ำอีกจุด ที่ประดับตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้สีสดสวยเต็มราวสะพาน บริเวณนี้จึงเป็นมุมถ่ายรูปบรรยากาศน่ารักริมแม่น้ำ หรือจะยืนรอถ่ายรูปเรือท่องเที่ยวที่แล่นผ่านอยู่เป็นระยะๆ
ริมฝั่งลำน้ำยังเป็นอีกโซนที่จะได้ชมความน่ารักสวยงามของอาคาร บ้านเรือนสไตล์ Half-Timbered สีสันสดใส บ้างก็เปิดเป็นร้านค้า ที่พัก ร้านอาหาร โซนนี้มีื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า The Fishmonger's district ตลอดเส้นทาง ซอยเล็กซอยน้อย ที่ให้เดินซอกแซก เราจะพบเห็นบ้านเรือนเก๋ๆ ให้ชม พร้อมมุมถ่ายรูปที่สวยทุกจุด รวมทั้งร้านอาหารริมน้ำที่จะได้เสพทั้งรสชาติอาหาร และดื่มด่ำบรรยากาศสุดชิลล์ไปพร้อมกัน
หลังจากเดินชื่นชมความงามบ้านเมือง และเที่ยว Colmar ตลอดทั้งวันแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นเราเลือกที่จะทานอาหารมื้อเช้าในโรงแรม Grand Hotel Bristol ที่เราพักเมือคืน ซึ่งบรรยากาศห้องอาหารตกแต่งดูคลาสสิค หรูหรา ย้อนยุคแบบอดีต นับเป็นห้องอาหารเดียวที่บริการในโรงแรม ทั้งมื้อเช้า, กลางวัน และเย็น โดยช่วงเย็นจะเสิร์ฟอาหารแบบไฟน์ไดน์นิ่ง .... ก่อนที่ช่วงสายๆ เราจะเก็บกระเป๋าในห้องพัก ลากไปยังสถานีรถไฟฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมเพื่อเดินทางต่อไปยัง "สวิตเซอร์แลนด์"
จากเมืองเล็กๆ แถบ Alsace อย่าง Colmar เรานั่งรถไฟมาเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเศษ ก็มาถึงจุดหมายปลายทางอย่างเมือง ลูเซิร์น ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ ที่เราไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางมาสวิตเซอร์แลนด์ เพราะที่นี่ประกอบไปด้วยวัฒนธรรม, ธรรมชาติที่งดงามของทะเลสาบและขุนเขา รายล้อมรอบตัวเมือง รวมทั้งศูนย์กลางการคมนาคมทางรถไฟ นอกจากนี้แต่ละวันจะมีเรือล่องทะเลสาบไปยังหมู่บ้านต่างๆ ต่อด้วยการขึ้นกระเช้าไปชมวิวบนยอดเขาต่างๆ ทั้งริกิ และ พิลาตุส ซึ่งสามารถนั่งรถไฟมองลงมาเห็นวิวตัวเมืองลูเซิร์น และทิวทัศน์เหนือทะเลสาบออกไปไกล
เมื่อเข้ามาถึงตัวเมืองลูเซิร์นเราข้ามสะพานไปยังฝั่งเหนือก็จะเข้าสู่เขตเมืองเก่าลูเซิร์น ซึ่งเต็มไปด้วยอาคารยุคเก่าในช่วงศตวรรษที่ 14-17 โดยส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมอิตาเลียน ถนนหนทางในเขตเมืองเก่านี้ ยังคงเป็นถนนแคบๆ ที่ปูด้วยหินตามแบบฉบับเมืองในยุคกลาง จึงเป็นเขตปลอดรถ ทำให้เราเดินเที่ยวชมได้อย่างสบาย โดยสองข้างทางนั้นเรียงรายไปด้วยร้านค้าที่ตกแต่งได้หรูหรา นอกจากนี้ยังพบภาพวาดสีสันสดใสบนผนังตึกตามจตุรัสต่างๆ ซึ่งเป็นภาพวาดที่ศิลปินได้ใช้เทคนิคการวาดภาพบนปูนเปียกอีกด้วย
เดินในตัวเมืองเก่า เราก็จะพบกับ Kapellbrucke สะพานไม้โบราณแบบมีหลังคาคลุม โดยมีหอคอยแปดเหลี่ยมตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางสะพาน สำหรับสะพานคาเพลล์บรึกเคอ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1333 เพื่อใช้เป็นทางสัญจรระหว่างสองฝั่งแม่น้ำ และเป็นประตูระบายน้ำจากทะเลสาบออกสู่แม่น้ำรอยส์ โดยในปี 1993 เกิดไฟไหม้เสียหายไปหลายส่วน สะพานที่เห็นในปัจจุบันบางส่วนจึงเป็นของที่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ ส่วนหอคอยกลางน้ำ นั้นสูง 34 เมตร เคยใช้เป็นทั้งป้อมปราการในศตวรรษที่ 13
จากสะพานไม้ Kapellbrucke เราเดินต่อไปตามถนน Alpenstrasse ไม่นานก็ถึงจตุรัส Lowenplatz เพื่อไปพบกับอนุสาวรีย์ Lowendenkmal (เลอเวนเดงก์มัล) หรือ อนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น ซึ่งนับเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองลูเซิร์น ซึ่งเป็นของขวัญที่รัฐบาลฝรั่งเศสสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ และระลึกถึงทหารรับจ้างชาวสวิส จำนวน 786 นาย ที่เสียชีวิตในการปกป้องพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารี อังตัวแนตต์ จากการถูกโจมตีที่พระราชวังตุยเลอรี ในกรุงปารีสเมื่อปี 1792 ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้น 29 ปี ให้หลังจากที่พวกเขาเสียชีวิต โดยแกะเป็นรูปสิงโตที่ถูกหอกแทงทะลุหลัง นอนหมอบอยู่ข้างโล่ร่ำไห้ก่อนเสียชีวิต ด้วยใบหน้าและท่วงท่าที่เศร้าสร้อย
เที่ยวเมืองลูเซิร์นและเดินทั่วเมืองเก่า ชมสถาปัตยกรรม ตึกรามบ้านช่อง กันแล้ว วันรุ่งขึ้นเราจึงมุ่งหน้าเดินทางต่อ ไปยังชายแดนอิตาลี ที่อยู่ติดกับสวิตเซอร์แลนด์อย่างโคโม โดยผ่านทางเส้น Lugano ซึ่งเราจะได้เห็นวิวของทะเลสาบที่สวยงามอยู่ตลอดข้างทาง ... ที่ Lake Como นับเป็นทะเลสาบที่โรแมนติกที่สุดในอิตาลี ด้วยทัุศนียภาพที่งดงามประหนึ่งภาพวาด สองฝากฝั่งเต็มไปด้วยเมืองน่ารักๆ และวิลล่าหรูหรา อาคารสีพาสเทลตัดกับทะเลสาบสีคราม เหมาะกับการมาล่องเรือชมธรรมชาติ
Lake Como เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอิตาลี ในภาษาอิตาลีจะเรียกทะเลสาบนี้ว่า Lago di Como ซึ่งได้ชื่อมาจากเมืองโคโม ตรงปลายข้างหนึ่งของทะเลสาบนั่นเอง รอบๆทะเลสาบมีเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่มากมาย โดยเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ Varenna, Bellagio, Lenno และ Como เนื่องจากเดินทางสะดวก มีที่พักให้เลือกมากมาย และเห็นวิวริมทะเลสาบ พร้อมอาคารบ้านเรือนลดหลั่นกันตามแนวเขา ดูสวยงาม
การลงเรือล่องทะเลสาบสามารถเลือกได้หลายเส้นทาง พร้อมทั้งรอบเรือซึ่งจะเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ www.navigazionelaghi.it สำหรับเส้นทางที่นิยมล่องเรือคือ เส้นทาง Varenna-Bellagio ใช้เวลา 15 นาที ราคา 4.6 ยูโร, เส้นทาง Bellagio-Lenno ใช้เวลา 30 นาที ราคา 4.6 ยูโร และ เส้นทาง Varenna-Como ใช้เวลา 2.30 ชั่วโมง ราคา 11.6 ยูโร ซึ่งหากเราไม่มีเวลามากนัก เที่ยวแค่ Varenna-Bellagio-Lenno ก็ได้บรรยากาศการล่องทะเลสาบโคโม เพียงพอแล้ว
เมือง Varenna ตั้งอยู่กึ่งกลางทะเลสาบพอดี และยังมีรถไฟสายตรงจากเมืองมิลานวิ่งเข้ามาจอดใจกลางเมือง จึงทำให้ที่นี่เป็นต้นทาง ที่นักท่องเที่ยวมักจะใช้เป็นจุดเริ่มต้น ในการเที่ยวทะเลสาบโคโม เมือง Varenna นี้มีความสวยงาม มีมุมสวยๆ วิวดีๆ และยังทำทางเดินเลียบทะเลสาบ พร้อมจุดนั่งพักผ่อนมีบรรยากาศหลายแห่ง ยังมีโบสถ์ประจำเมืองคือ Church of San Giorgio ที่มียอดหอนาฬิกา อันเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมือง ซึ่งเราจะได้เห็นเวลาล่องเรือกัน
หากมาล่องทะเลสาบโคโมแล้ว มาไม่ถึง Bellagio ถือว่าพลาด!!! เมืองนี้ตั้งอยู่ตรงแยกของทะเลสาบพอดี นับเป็นเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แบบที่ใครไปเห็นต้องหลงรัก แถมยังได้รับฉายาว่า "Pearl of The Lake" หรือ ไข่มุกแห่งทะเลสาบโคโม มาการันตรีอีก ตัวเมืองมีบันไดปูด้วยหินไล่ขึ้นไปตามระดับความสูงดูแล้วโรแมนติกมาก สองข้างทางประกอบด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ทุกประเภท ส่วนร้านที่อยู่ริมทะเลสาบนั้นนอกจากจะมีรสชาติเยี่ยมแล้ว ยังได้อาหารตา ให้อิ่มไปพร้อมๆ กัน
จาก Varenna เราใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษก็ถึงใจกลางเมืองมิลาน ซึ่งนับเป็นเมืองหลวงของแคว้นลอมบาร์ดีทางตอนเหนือของอิตาลี เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งแฟชั่นของโลก และศูนย์กลางการเดินทางที่สำคัญเมืองหนึ่งในยุโรป เมื่อเราก้าวขึ้นไปจากสถานีรถไฟใต้ดินบนถนนปิอัซซ่าดูโอโม ซึ่งอยู่หน้า Duomo di Milano เราต้องตื่นตะลึงกับความใหญ่โต และรูปทรงที่แปลกตาของ มหาวิหารดูโอโม แห่งเมืองมิลาน ความใหญ่ของที่นี่ ถือว่าเป็นอันดับ 2 รองจากมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ในกรุงโรม แต่เป็นมหาวิหารแบบโกธิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก วัสดุที่นำมาก่อสร้างเป็นหินอ่อนเกือบทั้งหลัง จากพื้นถึงยอดวิหารมีความสูง 157 เมตร กว้าง 92 เมตร หลังคาและตัวอาคารด้านนอกทำเป็นยอดแหลม 135 ยอด
ศูนย์การค้า Galleria Vittorio Emanuele II ตั้งอยู่ติดกับปิอัซซ่าดูโอโม เป็นช้อปปิ้งอาเขตที่โอ่อ่าหรูหราสูงสี่ชั้น อาคารรูปประตูทรงโค้งสร้างออกมาดูคล้ายกับประตูชัยของชาวโรมันโบราณ มีทางเดินตรงกลางสูงโปร่งโล่ง นับเป็นศูนย์รวมของร้านค้าสุดไฮโซในมิลาน เป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมระดับโลก จนได้รับฉายาว่า "ห้องนั่งเล่นของเมืองมิลาน" โดยตรงกลางจะมีโดมกระจกแก้ว และมีเพดานที่สร้างจากโครงเหล็กมุงด้วยแผ่นแก้วสุดหรู ภายในยังมีการประดับตกแต่งอย่างอลังการราวกับพระราชวัง ตรงพื้นมีกระเบื้องโมเสกสร้างเป็นรูปภาพต่างๆ โดยตรงกลางพื้นใต้โดยนั้น เป็นสัญลักษณ์ของตระกูลซาวอยของพระเจ้า Vittorio Emanuele II
หลังจากเดินช้อปปิ้ง และเดินชมบรรยากาศจนทั่วบริเวณนี้แล้ว ก็ถึงเวลาเราเดินทางกลับที่พักซึ่งเราตั้งใจจองที่พัก ผ่าน Booking.com เพราะเข้าถึงได้อย่างง่ายดายผ่านคอมพิวเตอร์ มือถือและอุปกรณ์แท็บแล็ตต่างๆ เราเลือกพักโรงแรม Moxy Milan Malpensa Airport เพราะวันรุ่งขึ้นมีไฟล์ทบินกลับกรุงเทพกันตั้งแต่เช้า ระยะทางจากใจกลางเมืองมิลานไปยังสนามบิน ประมาณ 50 กิโลเมตร เรานั่งรถไฟฟ้าพิเศษ Malpensa Express ราคา 12 ยูโร ใช้เวลากว่า 40 นาที ก็ถึงสนามบิน Milan Malpensa (MXP) ซึ่งนับเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในมิลาน
โรงแรม Moxy Milan Malpensa Airport เป็นโรงแรมที่เหมาะกับการต่อเครื่อง หรือ บินแต่เช้า เพราะตั้งอยู่ติดกับสนามบิน ไม่ต้องเผื่อเวลาล่วงหน้า และสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง จากตัวเมืองมิลาน ที่สำคัญกว่านั้นคือที่นี่ มีการตกแต่งชิค โมเดิร์น เปรี้ยว และเก๋ เหมาะสำหรับมาปาร์ตี้ สังสรรค์กับเพื่อนฝูงก่อนจะเดินทาง ด้วยบรรยากาศที่ดีไซน์ชัดเจนถึงแบรนด์ แต่เข้าถึงง่าย ไม่ยุ่งยาก และราคาที่เหมาะสมสำหรับการนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง Moxy Milan Malpensa Airport จึงเป็นโรงแรมที่เราปักหมุดว่า หากมามิลานคราวหน้า ต้องแวะมาเช็คอินน์ที่นี่อีกครั้ง
หลังจากนอนพักไปได้ไม่กี่ชั่วโมง ก็ถึงเวลาทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ ก่อนจะเก็บกระเป๋า เช็คเอาท์ และไปสนามบินเพื่อเดินทางกลับ ซึ่งเราเลือกบินกลับโดยสายการบิน Etihad Airways เพราะให้บริการดีเยี่ยมตลอดทั้งเส้นทาง นี่จึงเป็นอีกทริปที่เราประทับใจ เพราะได้เห็นทั้งสีสันของดอกไม้ ซึ่งมาตรงฤดูกาลพอดี, ความน่ารักของหมู่บ้านในเนเธอร์แลนด์ และแถบกอลมาร์, ความสวยงามของทะเลสาบและเมืองเก่าในสวิตเซอร์แลนด์, ความเก๋ของบ้านริมน้ำสีสวยในแถบโคโม ก่อนจบท้ายด้วยการช้อปปิ้งที่มิลาน ... ซึ่งความเป็นจริง ใจอยากจะไปเที่ยวต่อมากกว่านี้ แต่วันหยุด ให้ลาต่อไม่อำนวย ได้แต่หวังว่า จะมีประกาศเพิ่มวันหยุดต่อเนื่องให้อีกในเร็วๆ นี้ เราจะได้แพลนทริปกัน ... ไปเที่ยวต่อ
ขอบคุณผู้สนับสนุนการเดินทางอย่าง Etihad Airways และที่พักผ่าน Booking.com สามารถจองได้ที่ https://www.booking.com/index.th.html?aid=1745479